Quaterly Disclosure ของ Nok Air น่าสนใจดี
Category: Articles
MMP กับ ทฤษฎีผลประโยชน์
วันนี้จะมาเล่าสั้นๆ เรื่องทฤษฎีการเงินสมัยใหม่ หรือ Modern Monetary Policy ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นแนวนโยบายที่ประเทศพัฒนาแล้ว นำมาใช้เพื่อประคองเศรษฐกิจ (หรือในความเป็นจริงคือ เพื่อสร้างการเติบโตต่อระบบเศรษฐกิจแบบสุดโต่ง)
สรุปได้สั้นๆคือ ทฤษฎีนี้ให้เราลบล้างความคิดเดิมที่ว่า รัฐต้องเก็บภาษีจากประชาชนและนิติบุคคลเพื่อนำมาใช้จ่ายในการให้บริการต่างๆต่อประชาชน รวมถึงสนับสนุนกิจการต่างๆของรัฐ ลงทุนในการก่อสร้างและดูแลโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ หากรัฐเก็บภาษีได้น้อยกว่าเงินที่จำเป็นต้องใช้จ่าย รัฐอาจกู้ยืมจากภาคเอกชนหรือรัฐ (ประเทศ)อื่น
แต่ทฤษฎีนี้การเงินสมัยใหม่นี้ กำลังบอกว่าภาครัฐ(หรือประเทศ)ที่ไม่มีการยึดติดค่าเงิน กับระบบเศรษฐกิจอื่นๆนั้น สามารถอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบได้อย่างไม่จำกัด หรือภาษาบ้านๆก็คือพิมพ์เงินได้มากเท่าที่ตนเองต้องการ ไม่ว่าจะทำเพื่อใช้จ่ายในการลงทุนตามปกติ หรือเอาสนับสนุน แจกจ่ายให้กับประชาชน ได้มีกำลังซื้อสินค้าในยามเศรษฐกิจมีปัญหา เพื่อให้อุปโภคและบริโภคไม่ติดขัด เกิดการจ้างงานและการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจต่อไป จนเมื่อเงินที่อัดฉีดเข้ามาใหม่อยู่ในระดับสูงแล้ว รัฐจะต้องจัดการควบคุมโดยการออกนโยบายและมาตราการต่างๆ เช่น การเพิ่มหรือลด อัตราดอกเบี้ย และการจัดเก็บภาษีเพื่อดึงเงินออกจากระบบ ซึ่งเป็นการควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้ไม่สูงเกินไป ต่างจากความเชื่อเดิมที่ต้องตั้งอัตราภาษีแล้วจัดเก็บให้ได้ตามเป้าก่อนแล้วจึงมาใช้จ่าย
กล่าวคือ ความเชื่อที่ว่า 1) เก็บภาษี แล้วจึง 2) ใช้จ่าย กำลังจะกลายเป็น 1.) ใช้จ่ายก่อน 2.) แล้วจึงเก็บภาษี เหมือนกับการใช้บัตรเครดิต เช่นนั้นไป
ผู้ที่ได้ประโยชน์ที่สุดเหมือนจะเป็นภาครัฐ เพราะสามารถเสกเงินจากอากาศได้ แต่หากมองให้กระจ่าง จะเห็นได้ว่าประโยชน์สูงสุด เกิดกับภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่มีอำนาจและขนาดของธุรกิจที่ใหญ่และครอบคลุม ยิ่งใหญ่ ยิ่งได้ประโยชน์ เช่นว่า หากรัฐมีการแจกเงินเพื่อประตุ้นเศรษฐกิจ คนที่ได้รับเงินก็ไม่มีใครเอาไปฝากหรือลงทุน แต่มักเอาไปจับจ่ายใช้สอย เงินส่วนนี้เองที่สร้างยอดขาย และทำให้บริษัททั้งหลายเติบโตต่อ มีเครดิตไปกู้ยืมเพื่อขยายกิจการ ซื้อกิจการ ลงทุนในที่ดิน เครื่องจักร อาคาร หรือ real asset อื่นๆ เพราะต้องรีบเปลี่ยนเงิน ( ที่นับวันจะด้อยค่า เพราะเสกขึ้นมาเท่าไรก็ได้ เมื่อไรก็ได้ ) ให้เป็นสิ่งที่มีปริมาณจำกัด ซึ่งมีมูลค่าสะสมและมีราคาเพิ่มขึ้นทุกวัน ตามหลัก demand – supply
และเมื่อเวลาผ่านไป รัฐก็ทำแบบเดิม อัดฉีดเงินมากกว่าเดิม บริษัทเหล่านี้นี้ก็ดูดเงินกลับได้เพิ่มขึ้น ทำเงินได้เพิ่มขึ้นจากทรัพย์สินต่างๆที่สร้าง และสั่งสม จากการเติบโตของธุรกิจที่ได้แรงหนุนจากการช่วยเหลื่อประชาชนของรัฐในครั้งก่อนๆ หน้า
สิ่งนี้เองที่ทำให้ความเหลื่อมล้ำจะยิ่งสูงมากขึ้น Income gap จะค่อยๆถ่างออกไปเรื่อยๆ ความต่างระหว่างชนชั้นจะยิ่งมากขึ้น
บทสรุปและข้อคิดของเรื่องนี้คือ มันมีเส้นบางๆกั้นอยู่ ระหว่างเงินหมด กับเงินล้น ถ้าเงินหมด ก็เสกขึ้นมาใหม่ จากนั้นเงินก็ล้น แล้วจึงเอาดอกเบี้ยกับภาษีมาซับเงินออกจากระบบ เพื่อคุมอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งสหรัฐฯ ได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว ตั้งแต่ปี 2008
คนชั้นกลาง จึงต้องรีบขวนขวาย และไต่ขึ้นไปให้ได้มากที่สุด ให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้ไม่ต้องลำบากในรุ่นลูกๆหลานๆต่อไป
ตลาดบ๊อกบ๊อก
วันนี้ขอมาตั้งข้อสันนิฐานเกี่ยวกับนิทานเรื่องตลาดการค้าสุนัขออนไลน์
ยินดีต้อนรับสู่นิทานเรื่อง “ตลาดบ๊อกบ๊อก” นะครับ
บ๊อกบ๊อก คือ ตลาดซื้อขายสุนัขดิจิตอลแห่งหนึ่ง เปิดให้ทำการซื้อขายสุนัข 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุด โดยเปิดให้ซื้อขายเฉพาะกลุ่มสุนัขสายพันธ์ุยอดนิยม ซึ่งการบริการของ “บ๊อกบ๊อก” คือสร้างระบบจับคู่คนซื้อ และคนขายสุนัข โดยไม่ให้เจอหน้ากัน
“บ๊อกบ๊อก” มีระบบเทรดแบบอิเลกทรอนิก เช่นเดียวกับตลาดหุ้น ที่บอกจำนวนสุนัขที่มีคนมาฝากขายไว้ทั้งหมด พร้อมกับราคาเสนอขาย ในขณะที่คนซื้อก็สามารถเสนอราคา (Proposal / Offer) สำหรับสายพันธุ์ที่ตนต้องการ เพียงแค่ระบุจำนวนของสุนัขที่ประสงค์จะซื้อหรือขาย แล้วส่งข้อมูลมาที่ระบบของ บ๊อกบ๊อก หรือ “บ๊อกบ๊อกเทรด”
“บ๊อกบ๊อกเทรด”
ระบบ”บ๊อกบ๊อกเทรด” อาจบอกว่า มีลาบราดอ 5 ตัว ราคาตัวละ 10 บาท คนไหนอยากได้ 5ตัว ให้ฝากเงิน 50 บาทมาที่บ๊อกบ๊อก และสามารถส่งคำสั่งซื้อได้เลย โดยบ๊อกบ๊อกจะรับดูแลสุนัขที่ถูกทำรายการซื้อขายเสร็จสิ้นแล้วที่สำนักงานของบ๊อกบ๊อก โดยจะขึ้นตัวเลขไว้ใน”บ๊อกบ๊อกเทรด” ว่ามีสุนัขที่รับฝากไว้ จำนวนเท่าไร
หากบ๊อกบ๊อก บริหารแบบตรงไปตรงมา บ๊อกบ๊อกจะมีค่าใช้จ่ายพอสมควรเลยทีเดียว เนื่องจากรายได้ของบ๊อกบ๊อกมีแค่ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากผู้ใช้งานบ๊อกบ๊อกเทรดเมื่อมีการซื้อหรือขายเท่านั้น (เก็บทั้งจากผู้ซื้อและผู้ขาย) แต่การที่บ๊อกบ๊อกรับฝากสุนัขไว้ มีค่าใช้จ่ายคือผู้ดูแล อาหารสัตว์ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าทำความสะอาด และอื่นๆ
(บรรทัดจุดประเด็น)
บ๊อกบ๊อกจึงคิดแผนการอันแสนชาญฉลาดขึ้น เพราะบ๊อกบ๊อกมองว่ายังไงคนซื้อสุนัขต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะมารับสุนัขกลับไป คนซื้อก็ไม่เคยเห็นคนขายอยู่แล้ว เห็นแค่ตัวเลขกับราคาที่เสนอขายในระบบเท่านั้น แถมบางคนยังบอกกับบ๊อกบ๊อกอีกว่า ถ้าหากมีคนต้องการหรือสามารถขายต่อได้ในราคาที่ดี ก็จะขอฝากขายต่อเลยโดยไม่ต้องขับรถมารับกลับไปด้วยซ้ำ
บ๊อกบ๊อกเห็นโอกาสทองคำในการสร้างบัญชีซื้อขายของตัวเองขึ้นมา แล้วเสกตัวเลขจำนวนสุนัขขึ้นมาในบัญชีของตน จากนั้นตั้งค่าให้ระบบ AI robot ส่งคำสั่งเสนอขายสุนัขที่ตนไม่ได้มีอยู่จริงไปบนระบบ”บ๊อกบ๊อกเทรด”ทันที เกิดการซื้อขาย จับคู่กันแบบ real-time โดยผู้ซื้อไม่รู้เลยสักนิดว่าตนถูกหลอกขายอากาศ เพราะออเดอร์ฝั่ง bid ที่เสนอขายในระบบไม่ใช่มาจากเจ้าของสุนัขจริงๆ และไม่ได้มีสุนัขจริงๆ และด้วยความที่เป็นตลาดดิจิตอล บ๊อกบ๊อกจึงโปรแกรมระบบซื้อขายนี้ได้อย่างชาญฉลาด ผ่านการศึกษาพฤติกรรมการเทรดและราคา พร้อมกับเทียบราคาจากตลาดข้างเคียงบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อไม่ให้การเทรดโดยระบบ เกิดความเสียหาย
บ๊อกบ๊อกจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว แบบก้าวกระโดด สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ลงโฆษณา ประชาสัมพันธ์ในสื่อชั้นนำ และบนป้ายโฆษณาทั่วเมือง เพราะเป็นตลาดซื้อขายที่มีสุนัขหลากหลายสายพันธุ์ให้เลือกซื้อ และผู้คนก็นิยมมาช๊อปปิ้งบ บ๊อกบ๊อกเทรด เพราะมีสภาพคล่องสูง มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมาก แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
เกิดความกังวลเรื่องโรคระบาดที่ทำให้สุนัขเสียชีวิต ทำให้ผู้ซื้อสุนัขบางส่วนที่ทำรายการซื้อสำเร็จและได้ฝากสุนัขของตนไว้ที่บ๊อกบ๊อกเกิดความไม่สบายใจ ซึ่งมีอยู่สองกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มแรก ตื่นตระหนก เพราะสุนัขบางสายพันธุ์ที่ตนซื้อมานั้นมีราคาสูงขึ้นกว่าตอนที่ซื้อมามาก และเกรงว่าบ๊อกบ๊อกจะดูแลได้ไม่เต็มที่เนื่องจากรับฝากสุนัขไว้มาก จึงขอให้บ๊อกบ๊อกนำสุนัขมาส่งให้ ส่วนกลุ่มที่สอง กลับคิดว่าหากขายสุนัขที่ตนฝากไว้แทนที่จะรับกลับไปเลี้ยง แล้วค่อยกลับมาซื้อใหม่ตอนราคาลดลงมาแล้วนั้น น่าจะดีกว่า คนทั้งสองกลุ่ม จึงล๊อกอินเข้าสู่ระบบ บ๊อกบ๊อกเทรดเพื่อส่งข้อความให้บ๊อกบ๊อกดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของแต่ละคน
แต่….บ๊อกบ๊อกเทรด “ปิดการให้บริการชั่วคราว” ใช่แล้ว บ๊อกบ๊อกต้องปิดสำนักงานซื้อขายด้วย และปิดช่องทางการติดต่อทั้งหมดชั่วคราว
อ่าวเห้ย….ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นนะหรือ? ก็เพราะบ๊อกบ๊อกไม่เคยมีสุนัขที่เสนอขายคนทั้งสองกลุ่มนั้นตั้งแต่แรกไงหละ (ย้อนกลับไปดู “บรรทัดจุดประเด็น”)
ทั้งนี้ ก็เพราะบ๊อกบ๊อกคาดว่าตลาดมีขึ้นก็ต้องมีลง เมื่อคนซื้อที่ราคาแพง สุดท้ายราคามันต้องตกลงมาบ้าง เช่นบ๊อกบ๊อกขายสุนัขแบบไม่มีสุนัขไป 10 ตัว ในราคาตัวละ 10 บาท และได้เงินมาแล้ว 100 บาท ฝ่ายบริหารบ๊อกบ๊อกคาดการณ์ไว้ว่า คนที่ซื้อ10 ตัวนี้คงยังไม่ขาย หรือยังไม่มารับกลับไปในเร็ววันแน่ๆ และอีกไม่นาน บ๊อกบ๊อกก็สามารถไปหาซื้อสุนัข 10 ตัวนี้จากตลาดอื่นได้ในราคาตัวละ 5 บาท ได้กำไรตั้งเท่าตัว รอสักสองอาทิตย์ค่อยไปซื้อมาเก็บไว้ก็ได้ แถมยังไม่ต้องเสียค่าอาหารในการเลี้ยงสุนัขเหล่านี้ฟรีๆ ในช่วงเวลานี้อีกด้วย
แต่เพราะเกิดเรื่องไม่คาดคิด คือโรคระบาด สุนัขล้มหายตายจากไปเยอะมาก ทำให้ปริมาณสุนัขลดลง และราคาสุนัขเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้บ๊อกบ๊อกหาสุนัขมาคืนให้กับผู้ซื้อไม่ได้ และเป็นที่มาของการปิดตลาดชั่วคราว โดยบอกว่า”ระบบไฟฟ้าขัดข้อง” นั่นเอง
The story, all names, characters, and incidents portrayed in this note are fictitious. No identification with actual persons (living or deceased), places, buildings, entities, companies, products, or services is intended or should be inferred. Any similarity to actual persons, living or dead, and /or any organizations is purely coincidental.
Admirable Stories
Find out more at https://www.deedeeatx.com
สวัสดีครับ!
วันนี้ถือเป็นฤกษ์งามยามดี ที่ไม่ได้อ้างอิงหลักโหราศาสตร์ใดๆทั้งนั้น หากแต่เป็นการเริ่มต้น ทำในสิ่งที่อยากทำ จะได้ไม่ต้องเสียใจในภายหลังว่าทำไมตอนนั้นไม่ทำ หรือทำไมไม่ทำให้เร็วกว่านี้
ที่มาที่ไป – ด้วยผมเป็นคนที่ชอบสังเกต ตั้งคำถาม และหาคำตอบในเรื่องต่างๆ จากสถานที่ต่างๆ หรือจากการพูดคุยกับผู้คนมากมาย ซึ่งบางครั้งก็ได้คำตอบบ้าง ไม่ได้บ้าง ก็เลยต้องขวนขวาย ค้นหาข้อเท็จจริง ครั้นได้รู้และเข้าใจ ก็เก็บเป็นความสุขในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แล้วมันก็ผ่านไป ซึ่งหลายครั้งก็รู้สึกเสียดายที่คำตอบเหล่านั้น อาจช่วยแก้ปัญหาหรือช่วยเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจ ให้แก่บุคคลอื่น บางครั้งจึงได้แบ่งปันให้คนรู้จัก ผ่านช่องทางต่างๆ แต่เห็นจะไม่เป็นประโยชน์เท่าที่ควร
กอปรกับการไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ ที่เรามักจะมีเรื่องเล่าหรือการตั้งข้อสันนิฐาน ต่างๆนาๆ ที่หลายๆครั้งเป็นเรื่องที่น่าสนใจ จนเพื่อนผมบอกว่าควรจดเก็บบันทึกไว้ หรือเอาไปเผยแพร่เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในวงที่กว้างขึ้น หรืออย่างน้อยที่สุดก็จะได้ย้อนกลับมาดูได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นตรงกับที่เราคาดการณ์ไว้หรือเปล่า
ถ้ารู้จักตัวตนที่แท้จริงของผม จะพบว่าผมเองชอบการฟังและการพูด มากกว่าการอ่านและการเขียน จึงทำให้การสร้าง Notes บนเว็บไซต์ของผมในครั้งนี้เป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับตัวผมเอง แต่ก็จะพยายามทำให้สม่ำเสมอ ต่อเนื่อง และขอให้คำมั่นว่าจะมาแบ่งปัน เรื่องราว ความรู้ หรือเรื่องไร้สาระต่างๆให้ทุกท่านได้เสพ ซึ่งหากมีสิ่งใดที่ล่วงเกินไป ด้วยความพลาดพลั้ง รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือไม่ได้ตั้งใจ ขอท่านจงโปรดอภัยและอโหสิกรรมให้ด้วยนะครับ
phuwadhej.com เกิดขึ้นมานานแล้ว ตั้งแต่ปี 2009 เป็นรูปบ้าง ไม่เป็นร่างบ้าง เปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย