ต่างคนต่างคิด / คิดต่าง-คนต่าง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า สังคมการเมืองไทยในปัจจุบันแทบจะไม่ต่างจากระบบคอมพิวเตอร์ คือไม่ 1 ก็ 0 เหมือน binary system หรือ you’re either with us, or against us ซึ่งการคิดแบบนี้ นอกจากไม่ก่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่เดิมทีก็รุนแรงอยู่แล้ว กลับยังจะก่อให้เกิดรอยร้าวที่ยึ่งลึกลงไปในทุกชั้นของสังคม ปราศจากความปรองดอง ความร่วมมือที่จะหันหน้าเข้าหากันเพื่อร่วมแก้ปัญหา ฝ่าทางตัน และเอาผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง ซึ่งท้ายที่สุด จะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกคน มิใช่ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
การออกมาเรียกร้อง ประท้วงหรือใช้สิทธิตามกฎหมาย ควรมีขอบเขตและเคารพสิทธิ์ของผู้อื่นด้วย ต่างฝ่ายต่างก็ว่าฉันถูก ฉันดี เธอต้องฟังฉัน แต่จะนัดกันมาเพื่อแสดงออกแบบนี้เรื่อยไป คงไม่มีประโยชน์ มีแต่จะเสียกันทั้งสองฝ่าย ลองคิดเผื่อรัฐบาลหน้าด้วย ว่าจะต้องมารับภาระแก้ไขปัญหาที่นับวันมีแต่สะสุมเพิ่มเข้าไป การเปลี่ยนรัฐบาลหรือฝ่ายบริหารคงไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก อย่างน้อยควรจะรอให้เศรษฐกิจของโลกและภูมิภาคกลับมาอยู่ในสภาวะปกติก่อน ต้องอย่าลืมว่าเศรษฐกิจไทยถูกขับเคลื่อนด้วยการท่องเที่ยวและส่งออก เมื่อไม่มีนักท่องเที่ยว ไม่มีกระแสเงินสดไหลเข้าประเทศ ก็สาหัสอยู่แล้ว ธุรกิจเกี่ยวเนื่องทั้งหมด ขนส่ง โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหารได้รับผลกระทบทั้งหมด เหลือแค่การส่งออก แต่นับวันฐานการผลิตมีแต่จะย้ายออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ความเชื่อมั่นนักลงทุนเป็นสิ่งที่สำคัญและละเอียดอ่อน เพราะในระยะสั้น มันคือปากท้องและการดำรงชีพเกือบจะทั้งหมดของคนในชาติ จากสถานการณ์โลกปัจจุบันจึงทำให้ปีนี้ เดือนนี้ไม่ใช่ timing ที่เหมาะสมในการยกระดับการชุมนุม
การลงมาประท้วงบนถนนควรเปลี่ยนไปได้แล้ว ตอนนี้ยังมีแค่กลุ่มเดียว ถ้าลงมากันทั้งคู่ก็จะยิ่งเละ ไม่ต่างจากการต่อสู้เรียกร้องในหลายๆครั้งที่ผ่านมา น่าจะลองหาหลายวิธีที่ไม่สร้างความเดือนร้อน ควรไปจัดในสนามกีฬา มหาวิทยาลัย สวนสาธารณะ จะจัดพร้อมกันทุกจังหวัด จังหวัดละหลายๆจุด อะไรก็ว่าไป มีฝ่ายแกนนำที่เป็นเอกภาพและสามารถประสานงานเป็นระบบระเบียบได้ เพราะนอกจากสามารถตรวจสอบผู้เข้าร่วมชุมนุมได้แล้ว การควบคุมดูแลจากฝ่ายตนหรือฝ่ายรัฐย่อมทำได้ง่ายกว่ามาก
ส่วนรัฐบาลเองก็ไม่ควรจะไปปิดกั้น ต้องฟังเขา ถ่ายทอดสดให้เขา มีเวทีให้เขาได้เสนอความคิดเห็น จะได้ไม่ถูกกล่าวหาว่าปิดหูปิดตา จะเถียงกันบนเวที หรือบนโลกออนไลน์ จะทำสื่อส่อเสียด โจมตีเหน็บแนมบ้าง ก็ควรลดหย่อนและปล่อยให้เป็นไปบ้าง แล้วค่อยมาชี้แจงข้อจริงข้อเท็จ หรือหารือกัน อย่างน้อยที่สุดก็ได้ลดการกระทบกระทั่ง ไม่ต้องบาดเจ็บ ล้มตาย ส่วน ธุรกิจ ร้านค้าก็จะได้พอทำมาหากินได้บ้าง เวลานี้ต้องใจกว้างกันทั้งสองฝ่าย
ผลกระทบจากการลุกลามบานปลายในครั้งนี้ ถือเป็นความผิดของทั้งสองฝ่าย ที่ฝ่ายหนึ่งก็มุ่งจะแสดงออกถึงจุดยืนแต่วิธีการและสถานที่ยังไม่เหมาะสม ส่วนอีกฝ่ายก็พยายามปิดกั้น นิ่งเฉย และไม่เปิดโต๊ะหรือเวทีเจรจาสาธารณะ เพื่อจะได้ถกประเด็นด้วยเหตุและผล สุดท้ายทุกคนมีแต่จะเดือดร้อน
19 ตุลาคม 2563
กรุงเทพฯ