Quaterly Disclosure ของ Nok Air น่าสนใจดี
จุดระเบิดโดยท่านศาสดา Elon Musk, Clubhouse App จึงได้แจ้งเกิดอย่างไม่เป็นทางการไปทั่วโลก รวมถึงในไทย (แอพเป็นอะไร ทำงานยังไง ไปอ่านจากแหล่งอื่นนะครับ) ผมเองได้ลงทะเบียนสมัครไปตั้งแต่เดือน กันยายน ปีที่แล้ว แต่เข้าไม่ได้เพราะไม่มี Invite
ความสนุกเกิดขึ้นจากการที่พี่พอล์ล แห่ง Gobi Partners ส่ง invitation มาให้ ที่สุดท้ายแล้วกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการโต้รุ่ง ร่วมกับ กลุ่มคนที่เรียกได้ว่าเป็น The Best Mind of Thailand
ได้เข้าไปอยู่ในหลายๆห้อง ได้รับและแบ่งปันหลายๆไอเดีย และเป็นที่แหล่งแลกเปลี่ยนมุมมองและแชร์ความคิดเห็นกับ High Profile ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของ หรือ ผู้บริหารของบริษัทชั้นนำต่างๆ ของประเทศ อย่างคุณหญิงสุดารัตน์ก็ยอมรับว่าติดอย่างงอมแงม กลายเป็นแพนด้าเพราะอยู่จนถึงดึกมากๆมาหลายวัน
ด้วยความที่เป็น Invitation Only โดยผู้ก่อตั้งและกลุ่มนักลงทุน VC ที่ลงทุนในการพัฒนาแอพนี้ จึงทำให้แอพนี้เกิดขึ้นจากกลุ่ม tech และค่อยๆขยายวงไปยังความสนใจอื่นๆ ซึ่งสำหรับในไทยแล้ว สาย marketing กำลังเป็นกลุ่มที่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ จากการที่มี Top Marketer ดังๆของประเทศหลายท่านมาร่วมกลุ่มเสวนาอย่างไม่เป็นทางการในเวลาเดียวกัน แลกเปลี่ยน ความคิดต่างๆมากมาย
จุดนี้เองที่ผมมองว่า หาก Influencer โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม Youtuber นั้นน่าจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก (ผมมองต่างจากหลายๆคนที่มองว่า สิ่งนี้จะมาเปลี่ยนและเป็น Disruptor ของผู้ผลิต Podcast Content) นั่นก็เพราะว่า Youtube เป็นการสื่อสารแบบทางเดียวหรือเป็น Contentที่ผ่านการเตรียมการ วางแผน และตัดต่อมาแล้ว ดูไม่เป็นธรรมชาติ อีกทั้งยูทูปยังเป็น Content ที่มีภาพประกอบ การเสพคอนเทนต์ที่ดื่มด่ำคือการเปิดดูและฟังไปในขณะเดียวกัน แต่หากเป็นการฟังอย่างเดียว Podcast Content ดูจะเข้าถึงคนได้มากกว่า ในเวลาที่นานกว่า หากแต่การจับคนเก่งๆมานั่งคุยกันในรายการเดียวหรือ Podcast เดียว นั้นยากกว่าการให้ความอิสระในการเข้ามาร่วมวงและเสรีในการเลือก Topic ที่สนใจ เพราะการเลือกคุยในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอาจไม่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่อยากได้ Content ที่ Real และ Honest ในระยะเวลาอันสั้นได้
ในข้อดีก็มีข้อเสียและความท้าทาย เพราะปัจจุบันแบรนด์ และ Influencer ที่ Hook-on มาบน Platform กำลังคิดหาวิธีการหาเงิน กอรปกับข้อจำกัดของ content ที่เป็น Real-time จึงเข้าถึงกลุ่มคนได้จำกัด คือเฉพาะคนที่เข้ามาฟังสดในตอนนั้นๆ ซึ่งทำให้กลุ่มเป้าหมายไม่ได้ใหญ่มาก
แต่ถ้ามองอีกมุม เราสามารถมอง Clubhouse เป็นห้องประชุมในการแลกเปลี่ยนและหาไอเดียเพื่อวางกลยุทธ์ต่อยอดธุรกิจแบบจับมือกัน และเดินไปด้วยกัน แทนการจ้างที่ปรึกษา ซึ่งทุกคนเอาเวลาและความรู้มาแลกกัน แทนการเอาเงินเพื่อมาแลก (จ้าง) กลุ่มคนดังกล่าว
มาทายผลประกอบการเล่นๆสองชั่วโมงก่อนงบออกกันดีกว่า
FB จะจัด Conference Call แถลงผลกระกอบการสำหรับปี 2020 ในอีกสองชั่วโมงข้างหน้านี้ ซี่งปกติแล้วจะปล่อยงบออกมาให้ดูก่อนอย่างน้อยสองชั่วโมง เพื่อจะได้ discuss in the call ได้ (ซึ่งก็คือตอนนี้ แต่ครั้งนี้มาแปลก เพราะยังไม่มา)
ถึงแม้หลายแบรนด์ชั้นนำจะออกมารณรงค์การหยุดโฆษณาผ่าน FB ในปีที่แล้วเพื่อเป็นการต่อต้าน แต่เอาเข้าจริงๆ อาจให้บริษัทลูกๆหรือ Agency แอบๆทำ เพราะหากไม่ทำ ก็ไม่สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ โดยเฉพาะช่วงที่ลูกค้าแทบไม่ได้ไปไหน ไม่ได้สังสรรค์ การไม่ remind หรือสร้าง awareness อาจทำให้ลูกค้าลืมไปชั่วขณะว่ามีสินค้า หรือแบรนด์นี้ที่ยังอยากไปซื้อหามาใช้อยู่
ส่วนแบรนด์ไหนที่ฉลาดหน่อย ก็นับเป็นโอกาสดีที่จะใช้ Golder window (ช่วงเวลาทองคำ) นี้ สร้างตัวตนของแบรนด์และเปิดโลกใหม่ให้กับผู้บริโภคได้ ในต้นทุนที่ต่ำกว่าเดิมหากเทียบกับช่วงที่แบรนด์ใหญ่ระดมโฆษณาอย่างมโหฬาร เพราะไม่มีขีดจำกัดของงบประมาณและทรัพยากร
หากดูงบปี 2019 เทียบกับ 2018 และ 2017 : รายได้FB เติบโต 26% และ 37% ตามลำดับ แม้ว่าอัตราการเติบโตของปี 2019 จะลดลงเล็กน้อย แต่นั่นก็เพราะ FB มีฐานรายได้ที่สูงมากขึ้น และสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องนั่นเอง
และเมื่อมองความสามารถในการทำกำไรของ FB นั้นก็ถือว่าน่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะสามารถสร้างกำไรสุทธิได้กว่า 30% เลยทีเดียว
ขอส่งท้าย ด้วยการทายว่า รายได้ในปี 2020 จะเติบโตมากกว่า 30% (ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าปีที่แล้ว ) และยังคงรักษาระดับการทำกำไรที่ >= 30% เช่นเดิมด้วย
MMP กับ ทฤษฎีผลประโยชน์
วันนี้จะมาเล่าสั้นๆ เรื่องทฤษฎีการเงินสมัยใหม่ หรือ Modern Monetary Policy ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นแนวนโยบายที่ประเทศพัฒนาแล้ว นำมาใช้เพื่อประคองเศรษฐกิจ (หรือในความเป็นจริงคือ เพื่อสร้างการเติบโตต่อระบบเศรษฐกิจแบบสุดโต่ง)
สรุปได้สั้นๆคือ ทฤษฎีนี้ให้เราลบล้างความคิดเดิมที่ว่า รัฐต้องเก็บภาษีจากประชาชนและนิติบุคคลเพื่อนำมาใช้จ่ายในการให้บริการต่างๆต่อประชาชน รวมถึงสนับสนุนกิจการต่างๆของรัฐ ลงทุนในการก่อสร้างและดูแลโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ หากรัฐเก็บภาษีได้น้อยกว่าเงินที่จำเป็นต้องใช้จ่าย รัฐอาจกู้ยืมจากภาคเอกชนหรือรัฐ (ประเทศ)อื่น
แต่ทฤษฎีนี้การเงินสมัยใหม่นี้ กำลังบอกว่าภาครัฐ(หรือประเทศ)ที่ไม่มีการยึดติดค่าเงิน กับระบบเศรษฐกิจอื่นๆนั้น สามารถอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบได้อย่างไม่จำกัด หรือภาษาบ้านๆก็คือพิมพ์เงินได้มากเท่าที่ตนเองต้องการ ไม่ว่าจะทำเพื่อใช้จ่ายในการลงทุนตามปกติ หรือเอาสนับสนุน แจกจ่ายให้กับประชาชน ได้มีกำลังซื้อสินค้าในยามเศรษฐกิจมีปัญหา เพื่อให้อุปโภคและบริโภคไม่ติดขัด เกิดการจ้างงานและการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจต่อไป จนเมื่อเงินที่อัดฉีดเข้ามาใหม่อยู่ในระดับสูงแล้ว รัฐจะต้องจัดการควบคุมโดยการออกนโยบายและมาตราการต่างๆ เช่น การเพิ่มหรือลด อัตราดอกเบี้ย และการจัดเก็บภาษีเพื่อดึงเงินออกจากระบบ ซึ่งเป็นการควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้ไม่สูงเกินไป ต่างจากความเชื่อเดิมที่ต้องตั้งอัตราภาษีแล้วจัดเก็บให้ได้ตามเป้าก่อนแล้วจึงมาใช้จ่าย
กล่าวคือ ความเชื่อที่ว่า 1) เก็บภาษี แล้วจึง 2) ใช้จ่าย กำลังจะกลายเป็น 1.) ใช้จ่ายก่อน 2.) แล้วจึงเก็บภาษี เหมือนกับการใช้บัตรเครดิต เช่นนั้นไป
ผู้ที่ได้ประโยชน์ที่สุดเหมือนจะเป็นภาครัฐ เพราะสามารถเสกเงินจากอากาศได้ แต่หากมองให้กระจ่าง จะเห็นได้ว่าประโยชน์สูงสุด เกิดกับภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่มีอำนาจและขนาดของธุรกิจที่ใหญ่และครอบคลุม ยิ่งใหญ่ ยิ่งได้ประโยชน์ เช่นว่า หากรัฐมีการแจกเงินเพื่อประตุ้นเศรษฐกิจ คนที่ได้รับเงินก็ไม่มีใครเอาไปฝากหรือลงทุน แต่มักเอาไปจับจ่ายใช้สอย เงินส่วนนี้เองที่สร้างยอดขาย และทำให้บริษัททั้งหลายเติบโตต่อ มีเครดิตไปกู้ยืมเพื่อขยายกิจการ ซื้อกิจการ ลงทุนในที่ดิน เครื่องจักร อาคาร หรือ real asset อื่นๆ เพราะต้องรีบเปลี่ยนเงิน ( ที่นับวันจะด้อยค่า เพราะเสกขึ้นมาเท่าไรก็ได้ เมื่อไรก็ได้ ) ให้เป็นสิ่งที่มีปริมาณจำกัด ซึ่งมีมูลค่าสะสมและมีราคาเพิ่มขึ้นทุกวัน ตามหลัก demand – supply
และเมื่อเวลาผ่านไป รัฐก็ทำแบบเดิม อัดฉีดเงินมากกว่าเดิม บริษัทเหล่านี้นี้ก็ดูดเงินกลับได้เพิ่มขึ้น ทำเงินได้เพิ่มขึ้นจากทรัพย์สินต่างๆที่สร้าง และสั่งสม จากการเติบโตของธุรกิจที่ได้แรงหนุนจากการช่วยเหลื่อประชาชนของรัฐในครั้งก่อนๆ หน้า
สิ่งนี้เองที่ทำให้ความเหลื่อมล้ำจะยิ่งสูงมากขึ้น Income gap จะค่อยๆถ่างออกไปเรื่อยๆ ความต่างระหว่างชนชั้นจะยิ่งมากขึ้น
บทสรุปและข้อคิดของเรื่องนี้คือ มันมีเส้นบางๆกั้นอยู่ ระหว่างเงินหมด กับเงินล้น ถ้าเงินหมด ก็เสกขึ้นมาใหม่ จากนั้นเงินก็ล้น แล้วจึงเอาดอกเบี้ยกับภาษีมาซับเงินออกจากระบบ เพื่อคุมอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งสหรัฐฯ ได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว ตั้งแต่ปี 2008
คนชั้นกลาง จึงต้องรีบขวนขวาย และไต่ขึ้นไปให้ได้มากที่สุด ให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้ไม่ต้องลำบากในรุ่นลูกๆหลานๆต่อไป
ขายตั๋วมากกว่าที่นั่ง !
เทศกาลตรุษญวณใกล้เข้ามาถึงเต็มที แม้ว่าสถานการณ์โควิดยังคงสร้างความปั่นป่วนและความเสียหายต่อภาคการท่องเที่ยวโดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและสายการบินทั่วโลก แต่เวียดนามกลับไม่ค่อยสะทบสะท้านเนื่องจากสามารถควบคุมการติดเชื้อในประเทศได้
ด้วยความที่สาวเวียดนามกลัวแดด เกรงว่าผิวดำและจะไม่สวย จริงมีการแต่งตัวแบบปิดหน้าปิดตาอย่างมิดชิด จนกลายเป็นการป้องกันตัวเองแบบไม่ได้ตั้งใจ และด้วยความที่เป็นประเทศสังคมนิยม ทุกคนไปไหนมาไหนก็เห็นกันหมด รู้จักกันหมด หากไม่ปิดหน้าปิดตา แล้วพาเชื้อไปเผยแพร่ อาจโดยประนามได้
ออกนอกเรื่องไปไกล กลับมาที่ข่าวที่จะมาเล่าให้ฟัง คือการบินพลเรือนเวียดนามออกจดหมายเตือนสายการบินชั้นนำ ไม่ให้ขายตั๋วเกินกว่าจำนวนที่นั่งและไฟล์ที่ได้รับอนุญาติให้บิน (ไปอ่านที่นี่ https://caa.gov.vn/hoat-dong-nganh/mo-ban-ve-theo-dung-slot-da-duoc-xac-nhan-20210125090559055.htm ) ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับประเทศอื่น หากสายการบินจะขายตั๋วมากกว่าจำนวนที่นั่ง หรือจำนวนไฟล์ที่ได้รับอนุญาติจากทางการให้ทำการบินได้ เพราะสายการบินคาดการณ์ไว้ว่า ส่วนมากแล้วผู้โดยสารก็คงมากันไม่ครบ ขายตั๋วเกินๆไป จะได้เงินเยอะๆ ให้คุ้มค่าน้ำมัน หากมากันครบก็บอกว่าเครื่อง delayed แล้วก็ cancel, then combine the flight ก็ยังได้ ซึ่งเรื่องดังกล่าวมีสายการบินชั้นนำของประเทศเวียดนามสายหนึ่ง ทำเป็นปกติ สร้างความปวดหัวให้กับทั้งผู้โดยสารและหน่วยงานกำกับดูแลมาช้านานแล้ว
ทว่าข่าวนี้ เริ่มส่งสัญญาณว่า หน่วยงานของรัฐจะเริ่มบังคับใช้กฎหมายและแข้มงวดอย่างจริงจัง โดยเริ่มจากเทศกาลปีใหม่ หรือตรุษญวณที่กำลังจะมาถึงนี่ก่อน และแย้มมาเตือนอีกด้วยว่า หากไม่ปฏิบัติตามจะเพิกถอนใบอนุญาติเลยทีเดียว
แถมอีกข่าว
ไหนๆก็พูดเรื่องการบินแล้ว ขออัพเดทความคืบหน้าของสายการบินวินเพิร์ล แอร์ ในสังกัดวินกรุ๊ป (บริษัทชั้นนำของประเทศเวียดนาม ซึ่งประกอบธุรกิจอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรมตั้งแต่อสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก การศึกษา เทคโนโลยี และรถยนต์) ซึ่งได้ขอใบอนุญาตดำเนินกิจการสายการบินเมื่อปีที่แล้ว และเริ่มการฝึกอบรมนักบินไปแล้วนั้น
ล่าสุด ทางวินกรุ๊ป ออกมาบอกว่า ขอยกเลิกแผนการดำเนินธุรกิจดังกล่าวเนื่องจากประเมินสภาพตลาดและการแข่งขันของผู้เล่นในอุตสาหกรรมการบินแล้ว คงสู้ไม่ไหว ทั้งนี้ การฝึกนักบินของบริษัทจะยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งเป็นความร่วมมือของสถาบันฝึกสอนการบินชั้นนำจากออสเตรเลีย และผู้เรียนก็จะได้รับการทดสอบเพื่อรับใบอนุญาติเป็นนักบินพาณิชย์เพื่อป้อนเข้าสู่สายการบินที่มีความต้องการต่อไป
ปกติ วินกรุ๊ป ไม่ค่อยกลัวอะไรเท่าไร เพราะทุนหนา มีเครดิต และมีชื่อเสียง แต่การถอยออกจากธุรกิจการบินในครั้งนี้ นับว่าเป็นเศรษฐีที่ยังมีสติอยู่ เพราะผู้คร่ำหวอดทั่วโลกได้กล่าวไปในทิศทางเดียวกันตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วว่า “ถ้าไม่อยากเจ๊ง จนหมดตัว ก็จงอย่ามาทำสายการบิน”
ส่วนตัวมีโอกาสคุยกับเจ้าของบริษัทที่ให้สินเชื่อเพื่อเช่าซื้อเครื่องบินรายหนึ่ง ซึ่งมีขนาดใหญ่อันดับต้นๆ ของภูมิภาคนี้ เมื่อปีที่แล้ว ได้ความรู้ใหม่ที่น่าสนใจว่า ธุรกิจที่หากินกับสายการบินทั้งหมด ตั้งแต่การจัดหาบุคลากร ธุรกิจทำความสำอาด ธุรกิจขายของใช้ฟุ่มเฟือยเฉพาะทาง เช่นสารเคมีในการล้างทำความสะอาดเครื่องบิน สติ๊กเกอร์ Catering , flight servies และอีกมากมาย ล้วนมีกำไรอย่างงาม แต่สายการบินนั้นน่าสงสารนัก เหมือนฉลามที่เปิดปากกินเหยื่อได้ไม่เต็มที่ แต่เหาฉลามนั้น อิ่มแปร้ ตัวโตจนเกือบจะใหญ่กว่าฉลามไปเสียแล้ว
เห็นทีจะจริง !
ตลาดบ๊อกบ๊อก
วันนี้ขอมาตั้งข้อสันนิฐานเกี่ยวกับนิทานเรื่องตลาดการค้าสุนัขออนไลน์
ยินดีต้อนรับสู่นิทานเรื่อง “ตลาดบ๊อกบ๊อก” นะครับ
บ๊อกบ๊อก คือ ตลาดซื้อขายสุนัขดิจิตอลแห่งหนึ่ง เปิดให้ทำการซื้อขายสุนัข 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุด โดยเปิดให้ซื้อขายเฉพาะกลุ่มสุนัขสายพันธ์ุยอดนิยม ซึ่งการบริการของ “บ๊อกบ๊อก” คือสร้างระบบจับคู่คนซื้อ และคนขายสุนัข โดยไม่ให้เจอหน้ากัน
“บ๊อกบ๊อก” มีระบบเทรดแบบอิเลกทรอนิก เช่นเดียวกับตลาดหุ้น ที่บอกจำนวนสุนัขที่มีคนมาฝากขายไว้ทั้งหมด พร้อมกับราคาเสนอขาย ในขณะที่คนซื้อก็สามารถเสนอราคา (Proposal / Offer) สำหรับสายพันธุ์ที่ตนต้องการ เพียงแค่ระบุจำนวนของสุนัขที่ประสงค์จะซื้อหรือขาย แล้วส่งข้อมูลมาที่ระบบของ บ๊อกบ๊อก หรือ “บ๊อกบ๊อกเทรด”
“บ๊อกบ๊อกเทรด”
ระบบ”บ๊อกบ๊อกเทรด” อาจบอกว่า มีลาบราดอ 5 ตัว ราคาตัวละ 10 บาท คนไหนอยากได้ 5ตัว ให้ฝากเงิน 50 บาทมาที่บ๊อกบ๊อก และสามารถส่งคำสั่งซื้อได้เลย โดยบ๊อกบ๊อกจะรับดูแลสุนัขที่ถูกทำรายการซื้อขายเสร็จสิ้นแล้วที่สำนักงานของบ๊อกบ๊อก โดยจะขึ้นตัวเลขไว้ใน”บ๊อกบ๊อกเทรด” ว่ามีสุนัขที่รับฝากไว้ จำนวนเท่าไร
หากบ๊อกบ๊อก บริหารแบบตรงไปตรงมา บ๊อกบ๊อกจะมีค่าใช้จ่ายพอสมควรเลยทีเดียว เนื่องจากรายได้ของบ๊อกบ๊อกมีแค่ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากผู้ใช้งานบ๊อกบ๊อกเทรดเมื่อมีการซื้อหรือขายเท่านั้น (เก็บทั้งจากผู้ซื้อและผู้ขาย) แต่การที่บ๊อกบ๊อกรับฝากสุนัขไว้ มีค่าใช้จ่ายคือผู้ดูแล อาหารสัตว์ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าทำความสะอาด และอื่นๆ
(บรรทัดจุดประเด็น)
บ๊อกบ๊อกจึงคิดแผนการอันแสนชาญฉลาดขึ้น เพราะบ๊อกบ๊อกมองว่ายังไงคนซื้อสุนัขต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะมารับสุนัขกลับไป คนซื้อก็ไม่เคยเห็นคนขายอยู่แล้ว เห็นแค่ตัวเลขกับราคาที่เสนอขายในระบบเท่านั้น แถมบางคนยังบอกกับบ๊อกบ๊อกอีกว่า ถ้าหากมีคนต้องการหรือสามารถขายต่อได้ในราคาที่ดี ก็จะขอฝากขายต่อเลยโดยไม่ต้องขับรถมารับกลับไปด้วยซ้ำ
บ๊อกบ๊อกเห็นโอกาสทองคำในการสร้างบัญชีซื้อขายของตัวเองขึ้นมา แล้วเสกตัวเลขจำนวนสุนัขขึ้นมาในบัญชีของตน จากนั้นตั้งค่าให้ระบบ AI robot ส่งคำสั่งเสนอขายสุนัขที่ตนไม่ได้มีอยู่จริงไปบนระบบ”บ๊อกบ๊อกเทรด”ทันที เกิดการซื้อขาย จับคู่กันแบบ real-time โดยผู้ซื้อไม่รู้เลยสักนิดว่าตนถูกหลอกขายอากาศ เพราะออเดอร์ฝั่ง bid ที่เสนอขายในระบบไม่ใช่มาจากเจ้าของสุนัขจริงๆ และไม่ได้มีสุนัขจริงๆ และด้วยความที่เป็นตลาดดิจิตอล บ๊อกบ๊อกจึงโปรแกรมระบบซื้อขายนี้ได้อย่างชาญฉลาด ผ่านการศึกษาพฤติกรรมการเทรดและราคา พร้อมกับเทียบราคาจากตลาดข้างเคียงบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อไม่ให้การเทรดโดยระบบ เกิดความเสียหาย
บ๊อกบ๊อกจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว แบบก้าวกระโดด สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ลงโฆษณา ประชาสัมพันธ์ในสื่อชั้นนำ และบนป้ายโฆษณาทั่วเมือง เพราะเป็นตลาดซื้อขายที่มีสุนัขหลากหลายสายพันธุ์ให้เลือกซื้อ และผู้คนก็นิยมมาช๊อปปิ้งบ บ๊อกบ๊อกเทรด เพราะมีสภาพคล่องสูง มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมาก แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
เกิดความกังวลเรื่องโรคระบาดที่ทำให้สุนัขเสียชีวิต ทำให้ผู้ซื้อสุนัขบางส่วนที่ทำรายการซื้อสำเร็จและได้ฝากสุนัขของตนไว้ที่บ๊อกบ๊อกเกิดความไม่สบายใจ ซึ่งมีอยู่สองกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มแรก ตื่นตระหนก เพราะสุนัขบางสายพันธุ์ที่ตนซื้อมานั้นมีราคาสูงขึ้นกว่าตอนที่ซื้อมามาก และเกรงว่าบ๊อกบ๊อกจะดูแลได้ไม่เต็มที่เนื่องจากรับฝากสุนัขไว้มาก จึงขอให้บ๊อกบ๊อกนำสุนัขมาส่งให้ ส่วนกลุ่มที่สอง กลับคิดว่าหากขายสุนัขที่ตนฝากไว้แทนที่จะรับกลับไปเลี้ยง แล้วค่อยกลับมาซื้อใหม่ตอนราคาลดลงมาแล้วนั้น น่าจะดีกว่า คนทั้งสองกลุ่ม จึงล๊อกอินเข้าสู่ระบบ บ๊อกบ๊อกเทรดเพื่อส่งข้อความให้บ๊อกบ๊อกดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของแต่ละคน
แต่….บ๊อกบ๊อกเทรด “ปิดการให้บริการชั่วคราว” ใช่แล้ว บ๊อกบ๊อกต้องปิดสำนักงานซื้อขายด้วย และปิดช่องทางการติดต่อทั้งหมดชั่วคราว
อ่าวเห้ย….ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นนะหรือ? ก็เพราะบ๊อกบ๊อกไม่เคยมีสุนัขที่เสนอขายคนทั้งสองกลุ่มนั้นตั้งแต่แรกไงหละ (ย้อนกลับไปดู “บรรทัดจุดประเด็น”)
ทั้งนี้ ก็เพราะบ๊อกบ๊อกคาดว่าตลาดมีขึ้นก็ต้องมีลง เมื่อคนซื้อที่ราคาแพง สุดท้ายราคามันต้องตกลงมาบ้าง เช่นบ๊อกบ๊อกขายสุนัขแบบไม่มีสุนัขไป 10 ตัว ในราคาตัวละ 10 บาท และได้เงินมาแล้ว 100 บาท ฝ่ายบริหารบ๊อกบ๊อกคาดการณ์ไว้ว่า คนที่ซื้อ10 ตัวนี้คงยังไม่ขาย หรือยังไม่มารับกลับไปในเร็ววันแน่ๆ และอีกไม่นาน บ๊อกบ๊อกก็สามารถไปหาซื้อสุนัข 10 ตัวนี้จากตลาดอื่นได้ในราคาตัวละ 5 บาท ได้กำไรตั้งเท่าตัว รอสักสองอาทิตย์ค่อยไปซื้อมาเก็บไว้ก็ได้ แถมยังไม่ต้องเสียค่าอาหารในการเลี้ยงสุนัขเหล่านี้ฟรีๆ ในช่วงเวลานี้อีกด้วย
แต่เพราะเกิดเรื่องไม่คาดคิด คือโรคระบาด สุนัขล้มหายตายจากไปเยอะมาก ทำให้ปริมาณสุนัขลดลง และราคาสุนัขเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้บ๊อกบ๊อกหาสุนัขมาคืนให้กับผู้ซื้อไม่ได้ และเป็นที่มาของการปิดตลาดชั่วคราว โดยบอกว่า”ระบบไฟฟ้าขัดข้อง” นั่นเอง
The story, all names, characters, and incidents portrayed in this note are fictitious. No identification with actual persons (living or deceased), places, buildings, entities, companies, products, or services is intended or should be inferred. Any similarity to actual persons, living or dead, and /or any organizations is purely coincidental.
Digital Eco-no-(mon)ey
จากการที่ Bitcoin ได้ทำสถิติสูงสุดใหม่ เมื่อสองวันที่ผ่านมา จึงอยากมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางและอนาคตของความเป็นดิจิตอล และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก ทั้งในเรื่องวิถีชีวิต แนวคิด ด้านเศรษฐกิจและสังคม หรือที่เรียกว่า Paradigm shift (ไทย: การเปลี่ยนกระบวนทัศน์) หากไปหาความหมายในภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษ จะได้คำอธิบายที่ละเอียด และมีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน ซึ่งขอไม่อธิบาย ณ นี้
Digital Asset เติบโตแบบมีตัวเร่ง ไปพร้อมๆกับ กิจกรรมบนสื่อออนไลน์อื่นๆ ทั้งจากภาคธุรกิจ และจากวิถีการดำเนินชีวิตที่ (ถูกไวรัสบังคับให้) เปลี่ยนไป
เมื่อโลกแบบที่เราเคยรู้จัก ได้เจอสิ่งที่เราไม่เคยรู้จัก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่การแสวงหาหลักประกันหรือการหาทางรอดแบบใหม่ๆ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
ผมเองได้มีประสบการณ์ตรงในการลงไป “เล่น” กับ Digital Asset เช่น Cryptocurrency อย่างจริงจังในปี 2017 และถือเป็นโชคดีมาก ที่เข้าไปช่วงขาขึ้น และออกมาได้ทัน ก่อนตลาดวาย และเงียบหายไปอีกกว่า เกือบสองปี
อ่านถึงตรงนี้อาจสงสัยว่า ผมสร้างความสับสนจากการใช้คำว่า “เล่น” แต่กลับเรียกและจัด Cryptocurrency ให้อยู่ในกลุ่ม Digital “Asset ” นั่นก็เพราะ หลักการและผลเกี่ยวเนื่องของ crypto currency, token ฯลฯ ผูกอยู่กับระบบเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญมากขึ้น อย่างต่อเนื่อง เช่น ปัจจุบันเราสามารถซื้อขาย สัญญาล่วงหน้า ของเหรียญสกุลเหล่านี้ได้แล้ว
หากพิจารการคิดค้น และวางระบบซื้อขาย สินทรัพย์ ตราสาร ข้อตกลง หรือสัญญาต่างๆ ที่มนุษย์ได้คิดค้นขึ้นในยุคเริ่มต้น จนถึงปัจจุบัน คงเลี่ยงที่จะยอมรับไม่ได้ว่า Cryptocurrency คือวิวัฒนาการของการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนแห่งโลกอนาคต
หากมีโอกาส อยากให้ลองศึกษาหลักการณ์และพิจารณาสิ่งเหล่านี้ ไว้บ้าง จะได้ไม่ต้องมาเสียดายกันในภายหลังนะครับ
P.S ผมไม่เคยซื้อ Bitcoin และ คิดว่าคงยังไม่ซื้อ
ถอย..เพื่อไปต่อ
ต่างคนต่างคิด / คิดต่าง-คนต่าง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า สังคมการเมืองไทยในปัจจุบันแทบจะไม่ต่างจากระบบคอมพิวเตอร์ คือไม่ 1 ก็ 0 เหมือน binary system หรือ you’re either with us, or against us ซึ่งการคิดแบบนี้ นอกจากไม่ก่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่เดิมทีก็รุนแรงอยู่แล้ว กลับยังจะก่อให้เกิดรอยร้าวที่ยึ่งลึกลงไปในทุกชั้นของสังคม ปราศจากความปรองดอง ความร่วมมือที่จะหันหน้าเข้าหากันเพื่อร่วมแก้ปัญหา ฝ่าทางตัน และเอาผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง ซึ่งท้ายที่สุด จะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกคน มิใช่ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
การออกมาเรียกร้อง ประท้วงหรือใช้สิทธิตามกฎหมาย ควรมีขอบเขตและเคารพสิทธิ์ของผู้อื่นด้วย ต่างฝ่ายต่างก็ว่าฉันถูก ฉันดี เธอต้องฟังฉัน แต่จะนัดกันมาเพื่อแสดงออกแบบนี้เรื่อยไป คงไม่มีประโยชน์ มีแต่จะเสียกันทั้งสองฝ่าย ลองคิดเผื่อรัฐบาลหน้าด้วย ว่าจะต้องมารับภาระแก้ไขปัญหาที่นับวันมีแต่สะสุมเพิ่มเข้าไป การเปลี่ยนรัฐบาลหรือฝ่ายบริหารคงไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก อย่างน้อยควรจะรอให้เศรษฐกิจของโลกและภูมิภาคกลับมาอยู่ในสภาวะปกติก่อน ต้องอย่าลืมว่าเศรษฐกิจไทยถูกขับเคลื่อนด้วยการท่องเที่ยวและส่งออก เมื่อไม่มีนักท่องเที่ยว ไม่มีกระแสเงินสดไหลเข้าประเทศ ก็สาหัสอยู่แล้ว ธุรกิจเกี่ยวเนื่องทั้งหมด ขนส่ง โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหารได้รับผลกระทบทั้งหมด เหลือแค่การส่งออก แต่นับวันฐานการผลิตมีแต่จะย้ายออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ความเชื่อมั่นนักลงทุนเป็นสิ่งที่สำคัญและละเอียดอ่อน เพราะในระยะสั้น มันคือปากท้องและการดำรงชีพเกือบจะทั้งหมดของคนในชาติ จากสถานการณ์โลกปัจจุบันจึงทำให้ปีนี้ เดือนนี้ไม่ใช่ timing ที่เหมาะสมในการยกระดับการชุมนุม
การลงมาประท้วงบนถนนควรเปลี่ยนไปได้แล้ว ตอนนี้ยังมีแค่กลุ่มเดียว ถ้าลงมากันทั้งคู่ก็จะยิ่งเละ ไม่ต่างจากการต่อสู้เรียกร้องในหลายๆครั้งที่ผ่านมา น่าจะลองหาหลายวิธีที่ไม่สร้างความเดือนร้อน ควรไปจัดในสนามกีฬา มหาวิทยาลัย สวนสาธารณะ จะจัดพร้อมกันทุกจังหวัด จังหวัดละหลายๆจุด อะไรก็ว่าไป มีฝ่ายแกนนำที่เป็นเอกภาพและสามารถประสานงานเป็นระบบระเบียบได้ เพราะนอกจากสามารถตรวจสอบผู้เข้าร่วมชุมนุมได้แล้ว การควบคุมดูแลจากฝ่ายตนหรือฝ่ายรัฐย่อมทำได้ง่ายกว่ามาก
ส่วนรัฐบาลเองก็ไม่ควรจะไปปิดกั้น ต้องฟังเขา ถ่ายทอดสดให้เขา มีเวทีให้เขาได้เสนอความคิดเห็น จะได้ไม่ถูกกล่าวหาว่าปิดหูปิดตา จะเถียงกันบนเวที หรือบนโลกออนไลน์ จะทำสื่อส่อเสียด โจมตีเหน็บแนมบ้าง ก็ควรลดหย่อนและปล่อยให้เป็นไปบ้าง แล้วค่อยมาชี้แจงข้อจริงข้อเท็จ หรือหารือกัน อย่างน้อยที่สุดก็ได้ลดการกระทบกระทั่ง ไม่ต้องบาดเจ็บ ล้มตาย ส่วน ธุรกิจ ร้านค้าก็จะได้พอทำมาหากินได้บ้าง เวลานี้ต้องใจกว้างกันทั้งสองฝ่าย
ผลกระทบจากการลุกลามบานปลายในครั้งนี้ ถือเป็นความผิดของทั้งสองฝ่าย ที่ฝ่ายหนึ่งก็มุ่งจะแสดงออกถึงจุดยืนแต่วิธีการและสถานที่ยังไม่เหมาะสม ส่วนอีกฝ่ายก็พยายามปิดกั้น นิ่งเฉย และไม่เปิดโต๊ะหรือเวทีเจรจาสาธารณะ เพื่อจะได้ถกประเด็นด้วยเหตุและผล สุดท้ายทุกคนมีแต่จะเดือดร้อน
19 ตุลาคม 2563
กรุงเทพฯ
Admirable Stories
Find out more at https://www.deedeeatx.com
สวัสดีครับ!
วันนี้ถือเป็นฤกษ์งามยามดี ที่ไม่ได้อ้างอิงหลักโหราศาสตร์ใดๆทั้งนั้น หากแต่เป็นการเริ่มต้น ทำในสิ่งที่อยากทำ จะได้ไม่ต้องเสียใจในภายหลังว่าทำไมตอนนั้นไม่ทำ หรือทำไมไม่ทำให้เร็วกว่านี้
ที่มาที่ไป – ด้วยผมเป็นคนที่ชอบสังเกต ตั้งคำถาม และหาคำตอบในเรื่องต่างๆ จากสถานที่ต่างๆ หรือจากการพูดคุยกับผู้คนมากมาย ซึ่งบางครั้งก็ได้คำตอบบ้าง ไม่ได้บ้าง ก็เลยต้องขวนขวาย ค้นหาข้อเท็จจริง ครั้นได้รู้และเข้าใจ ก็เก็บเป็นความสุขในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แล้วมันก็ผ่านไป ซึ่งหลายครั้งก็รู้สึกเสียดายที่คำตอบเหล่านั้น อาจช่วยแก้ปัญหาหรือช่วยเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจ ให้แก่บุคคลอื่น บางครั้งจึงได้แบ่งปันให้คนรู้จัก ผ่านช่องทางต่างๆ แต่เห็นจะไม่เป็นประโยชน์เท่าที่ควร
กอปรกับการไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ ที่เรามักจะมีเรื่องเล่าหรือการตั้งข้อสันนิฐาน ต่างๆนาๆ ที่หลายๆครั้งเป็นเรื่องที่น่าสนใจ จนเพื่อนผมบอกว่าควรจดเก็บบันทึกไว้ หรือเอาไปเผยแพร่เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในวงที่กว้างขึ้น หรืออย่างน้อยที่สุดก็จะได้ย้อนกลับมาดูได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นตรงกับที่เราคาดการณ์ไว้หรือเปล่า
ถ้ารู้จักตัวตนที่แท้จริงของผม จะพบว่าผมเองชอบการฟังและการพูด มากกว่าการอ่านและการเขียน จึงทำให้การสร้าง Notes บนเว็บไซต์ของผมในครั้งนี้เป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับตัวผมเอง แต่ก็จะพยายามทำให้สม่ำเสมอ ต่อเนื่อง และขอให้คำมั่นว่าจะมาแบ่งปัน เรื่องราว ความรู้ หรือเรื่องไร้สาระต่างๆให้ทุกท่านได้เสพ ซึ่งหากมีสิ่งใดที่ล่วงเกินไป ด้วยความพลาดพลั้ง รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือไม่ได้ตั้งใจ ขอท่านจงโปรดอภัยและอโหสิกรรมให้ด้วยนะครับ
phuwadhej.com เกิดขึ้นมานานแล้ว ตั้งแต่ปี 2009 เป็นรูปบ้าง ไม่เป็นร่างบ้าง เปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย